เงา
ท้องฟ้ายามสายัณห์ถูกอาบไล้ด้วยสีส้มแดง สุริยนทอแสงสุดท้ายของวันในขณะที่กำลังเคลื่อนตัวลาลับเหลี่ยมเขาก่อนที่ความมืดมิดแห่งรัตติกาลจะมาเยือน ลมหนาวโชยเอากลิ่นหอมเย็นของดอกราตรีลอยมาแตะจมูก ดอกหญ้าพลิ้วไหวตามแรงลม ริตาทอดตัวลงบนผืนหญ้าอ่อนนุ่มแล้วค่อยๆหลับตาลง หล่อนเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยเกินกว่าที่จะพลิกตัวหลบหยาดน้ำค้างที่เริ่มพร่างพรายลงมา เหนื่อยกับการต้องเดินตามความฝันของคนอื่นที่คิดว่ามันคือทางเดินของตนเองมาตลอดชีวิต หลงระเริงไปกับอาฆาตพยาบาทโดยที่ในสุดมันก็ย้อนกลับมาทำร้ายตัวของหล่อนเอง เพราะถึงอย่างไรในความเป็นจริงหล่อนก็เป็นได้เพียงแค่ ‘เงา’ ของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวของหล่อนเท่านั้น
หากจะกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ คงต้องย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ตั้งแต่วันแรกที่เด็กน้อยริตาลืมตาดูโลก หล่อนเป็นลูกหลงของท่านนายพลพิธานกับทันตแพทย์หญิงวิรดาเนื่องจากเธอเกิดห่างจากรตีผู้เป็นพี่สาวกว่า 10 ปี ด้วยหน้าที่การงานที่มั่นคง ฐานะทางครอบครัวที่มั่งคั่งและยศถาบรรดาศักดิ์ของบิดามารดา กอปรกับบทบาทในสังคมของตระกูลเก่าแก่อย่าง ‘รัตนาบดินทร์’ ทำให้คนรอบข้างต่างอิจฉากับวาสนาของเด็กน้อย แต่ใครเลยจะรู้เล่าว่าภายใต้หน้ากากอันสวยงามนั้น เด็กหญิงริตาเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูที่อยู่ในกรอบระเบียบกฎเกณฑ์เพราะมีรตีผู้เป็นพี่สาว เธอเป็นเด็กสาวที่พรั่งพร้อมไปด้วยรูปโฉมงดงาม กิริยามารยาทเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี และสติปัญญาอันฉลาดหลักแหลมเป็นแบบอย่าง แต่กระนั้นก็ตามแม้แต่ฝาแฝดที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกันก็ยังมีความแตกต่างกันทางด้านอุปนิสัยและความคิด ใยเล่าที่พี่น้องท้องเดียวที่มีอายุแตกต่างกันถึง 14 ปีจักเหมือนกันได้ เนื่องจากภาระหน้าที่ของบุพการีทั้งสองทำให้ริตาขาดการดูแลเอาใจใส่ด้านจิตใจ ทำให้เด็กสาวโตขึ้นมามีความคิดความอ่านที่เป็นสาวหัวสมัยใหม่ ไม่ชอบการอยู่ในกรอบกฎเกณฑ์ของบิดามารดา แต่ก็มิอาจขัดอาญาประกาศิตได้ รตีจึงถูกนำมาเป็นหัวข้อเปรียบเทียบน้องสาวอยู่เสมอ ยิ่งเมื่อหล่อนจบการศึกษาปริญญาเอกด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาพร้อมคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่งและรับตำแหน่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษในโรงพยาบาลเอกชนที่วิรดาทำงานอยู่ทันทีที่กลับมาถึง ในขณะที่ริตาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนชื่อดังของประเทศ การกลับมาของแพทย์หญิงดร.รตี รัตนาบดินทร์ในครั้งนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำผลการเรียนอันย่ำแย่ของริตาจนวิรดาผู้เป็นมารดาต้องเอ่ยมาออกมาบนโต๊ะอาหารในค่ำวันหนึ่ง
“นี่! ยายริตา ทำไมเทอมนี้เกรดเราถึงได้ต่ำอย่างนี้ ได้แค่ 2.7 เองนะ อาจารย์รัชนีก็โทรมาบอกแม่เรื่องที่เราไปก่อเรื่องกับอาจารย์ฝ่ายปกครองเอาไว้ด้วย แล้วนี่แม่จะทำอย่างไรกับเราดี”วิรดาต่อว่าลูกสาว
“เราไปสร้างเรื่องอะไรไว้อีกเล่า ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา ขายขี้หน้าวงศ์ตระกูลหมด ทำไมไม่รู้จักดูตัวอย่างพี่รตีเขาบ้าง”พิธานตะคอกอย่างโมโห
“คุณพ่อกับคุณแม่ใจเย็นๆก่อนนะค่ะ อย่าไปว่าน้องเลยค่ะ น้องยังเด็ก ทำไมไม่ฟังเหตุผลน้องบ้างนะค่ะ”รตีพยามเกลี้ยกล่อมเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์กำลงปะทุ
“นี่! หนูรตี หนูยังจะไปปกป้องยายริตาอีกเหรอ ถ้าคนอื่นเขารู้ลูกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แค่นี้แม่ก็ไม่รู้จะพูดกับคุณหญิงคุณนายที่สโมสรว่าอย่างไรแล้ว”วิรดาเสียงอ่อนลงเมื่อหันไปพูดกับลูกสาวคนโต
“ผมก็เหมือนกันนะคุณ พรุ่งนี้ไม่อยากโผล่หน้าไปที่กรมเลย วันก่อนเพิ่งให้ทุนการศึกษาลูกๆของทหารที่ได้เกรดดีๆไป”พิธานส่ายหน้าอย่างระอาใจ
บิดามารดาของหล่อนไม่เคยคิดจะห่วงใยริตาเลย คิดแต่ผลประโยชน์ของตนเอง กลัวแต่จะเสียหน้า หล่อนทนไม่ไหวแล้ว
“พอสักทีได้ไหมค่ะ ริตาเบื่อ คุณพ่อคุณแม่ก็ห่วงแต่เรื่องของตัวเองนั่นแหละ ริตาถามหน่อยเถอะค่ะว่ามันเป็นความผิดของริตาเหรอค่ะที่ริตาอ่อนวิทย์กับคณิตแต่คุณแม่ก็ยังบังคับให้ริตาเรียนหมอเพราะจะเอาไว้เชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูล แล้วเป็นไงเล่าค่ะ คราวนี้สะใจหรือยัง”หล่อนตะโกนกลับไปอย่างเหลืออด” วิรดาปรี่เข้าไปจะตบหน้าแม่ตัวดี แต่รตีคว้าไว้ทันเสียก่อน
“พี่รตีปล่อยท่านเถอะค่ะ เอาเลย อยากจะทำอะไรก็เชิญ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาริตาไม่เคยแม้แต่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง ถูกกีดกันแม้กระทั่งความคิด รู้ไหมค่ะว่าริตาเบื่อมันแค่ไหน ที่ต้องคอยทำตัวเป็นเงาของพี่รตี ก็ลูกสาวคนโปรดนี่ค่ะ จะทำอะไรก็ดีก็เลิศไปหมด ถ้าเห็นว่าริตามีค่าแค่นี้ แล้วเกิดริตามาทำไมเล่าค่ะ แม้แต่อ้อมกอดที่จริงใจสักครั้งริตาก็ไม่เคยได้รับ วันๆคุณพ่อคุณแม่ก็ทำแต่งาน งาน แล้วก็งาน ความรักความอบอุ่นที่ริตาโหยหามันอยู่ที่ไหนเหรอค่ะ ริตาเกลียดคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ได้ยินไหมค่ะว่าริตาเกลียด.......”
คำพูดสุดท้ายของเด็กสาวถูกกลืนลงลำคอเมื่อแก้มเนียนใสถูกฝ่ามือเรียวฟาดลงอย่างไม่ทันจะได้ทั้งตัว เนื้อนวลชาดิกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวด รสชาติคาวเลือดคลุ้งในปาก แม้ว่าหล่อนและรตีจะเป็นพี่น้องที่ไม่สนิทกันนักเพราะช่องว่างระหว่างวัย กอปรกับการที่พี่สาวถูกส่งไปเรียนต่อที่เมืองนอกตั้งแต่หล่อนยังเด็ก แต่ริตาก็นึกไม่ถึงว่ารตีจะกล้าตบหน้าหล่อน แม้แต่บุพการีทั้งสองยังนิ่งงัน
“พี่ไม่นึกเลยนะว่าน้องสาวพี่จะเป็นคนก้าวร้าวแบบนี้ ทำไมถึงพูดกับคุณพ่อคุณแม่แบบนั้นมันไม่ดีรู้ไหม รีบขอโทษท่านเดียวนี้เลยนะ” ถึงแม้รตีจะตกใจในการกระทำอันรุนแรงของตัวเองแต่ก็ต้องแสร้งทำหน้าดุเพื่อกำราบผู้เป็นน้องสาว
ริตามองหน้าพี่สาวด้วยสายตาตัดพ้อปนเคียดแค้น หยาดน้ำตาใสไหลรินจากดวงตาแดงก่ำยิ่งทำให้หัวใจของผู้เป็นพี่อ่อนยวบ หล่อนวิ่งหนีออกมาโดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับ รตีทนไม่ไหวทำท่าจะก้าวตามน้องสาวไปแต่นายพลพิธานก็เอื้อมมือมารั้งแขนบุตรีไว้ก่อน
“ไม่ต้องตามไป ลูกทำถูกแล้ว ให้น้องมันรู้จักสำนึกซะบ้าง”
“แต่คุณพ่อค่ะ.......”รตีพยายามแย้งบิดา
“ไม่ต้องเลยนะรตี แม่ว่าเรามาทานข้าวกันต่อดีกว่านะค่ะ”วิรดาทักท้วงด้วยกลัวว่าหากรตีใจอ่อน ริตาจะยิ่งได้ใจ
ริตาทิ้งตัวลงบนเตียง ซุกหน้าลงร้องไห้กับหมอน สมองคิดทบทวนเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น หล่อนไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต้องทำกับหล่อนถึงเพียงนี้ พาลนึกไปถึงใบหน้าของรตี ความรู้สึกของหล่อนยามนี้เต็มไปด้วยความอาฆาตชิงชัง ตั้งแต่เล็กจนโต รตีเปรียบดังดอกไม้บานล้อแสงอาทิตย์ที่เหล่าผึ้งภมรต่างเข้ามาดอมดม ทั้งผู้ที่จริงใจและผู้ที่เข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ แล้วหล่อนเล่า...หล่อนเป็นได้เพียงกิ่งไม้ไร้ใบที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเงาของกอบุปผชาติ ตั้งแต่จำความได้ไม่มีเลยสักครั้งที่ผู้ให้กำเนิดจะแนะนำกับใครๆอย่างภาคภูมิว่ามีหล่อนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอีกคน สักวันหล่อนจะต้องได้ดี หล่อนจะต้องขึ้นมายืนในจุดที่สูงกว่ารตีให้ได้ หล่อนจะต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าหล่อนมิได้มีค่าเพียงแค่เศษพลอยหุงเท่านั้น เด็กสาวปฏิญาณกับตนเอง แววตาของริตาทอแสงเป็นประกายเด็ดเดี่ยวกับความคิดของตน
ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ภายในบ้านรัตนาบดินทร์ยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ หากไม่มีความจำเป็นริตาจะไม่พูดกับใครเลย โดยเฉพาะกับรตี แม้แต่หน้าของพี่สาวก็ไม่ยอมมอง ทั้งๆที่รตีก็เพียรพยายามมางอนง้อผู้เป็นน้องสาวแต่ดูเหมือนว่าการกระทำเหล่านั้นจะถูกพายุร้ายแห่งทิฐิของริตาพัดพาเลือนหายไปเสียทุกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือคะแนนในช่วงสองปีที่ผ่านมาพัฒนาขึ้นมาก จนในที่สุดหล่อนก็จบการศึกษาชั้นมัธยมด้วยเกรดเฉลี่ยสูงถึง 3.5 และสามรถสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงลอนดอนได้ แม้ว่าทันตแพทย์หญิงวิรดากับท่านนายพลพิธานเสนอว่าจะจ่ายเงินให้เข้าเรียนแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกับรตีแต่ริตาก็ไม่ยอมยืนกรานที่จะเลือกทางเดินของตัวเองให้ได้ ดีที่ได้รตีเกลี้ยกล่อมจนท่านทั้งสองยอมตามใจลูก
เนื่องจากริตามีความมุ่งมั่นที่แน่วแน่บวกกับแรงขับเคลื่อนจากความแค้นทำให้หล่อนหอบใบปริญญาดีกรีดอกเตอร์คณะบริหารธุรกิจกลับมาเมืองไทยภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี แม้ว่าความฝันที่แท้จริงของริตาคือการได้เป็นนิสิตรั้วจามจุรีคณะอักษรศาสตร์ธรรมดาๆเท่านั้นเพราะหนังสือเปรียบได้ดังชีวิตของหล่อนและอาชีพนักเขียนก็เป็นอาชีพที่ใฝ่ฝัน แต่ทิฐิก็สั่งให้ริตาแยกโลกแห่งความฝันออกจากโลกแห่งความจริง
“จะเป็นอะไรไปเล่า ในเมื่อชีวิตทั้งชีวิตของฉันก็พบเจอแต่คนเสแสร้งที่สวมหน้ากากเข้าหากันอยู่แล้ว ลำพังแค่นักเขียนไส้แห้งคนหนึ่งจะมีปัญญาไปทำอะไรผู้อำนวยการโรงพยาบาลในเครือของรัตนาบดินทร์คนใหม่อย่างดร.รตีเล่าต้องตำแหน่งผู้บริหารคนใหม่ของรัตนาบดินทร์จิวเวลรี่ บริษัทอัญมณียักษ์ใหญ่ธุรกิจเก่าแก่ของตระกูลอย่างดร.ริตา รัตนาบดินทร์คนนี้สิมันถึงจะสมน้ำสมเนื้อกัน”
ริตายิ้มยะเยือกเมื่อนึกถึงความสำเร็จอันรวดเร็วของตน แม้แต่ท่านนายพลกับอดีตทันตแพทย์หญิงผู้เป็นบิดามารดายังพลอยชื่นชมกับความสำเร็จของบุตรี ดูเหมือนอะไรๆก็ดูราบเรียบไปหมด แต่สำหรับริตา....ของจริงมันเพิ่งจะเริ่มหลังจากนี้ต่างหาก
ในขณะรตีที่กำลังง่วนอยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะ ริตาก้าวเข้าในหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพี่สาว หล่อนจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มทักทายเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร
“ว่าอย่างไรจ๊ะริตา ลมอะไรหอบมาหาพี่ได้เล่าถึงได้มาหาพี่ที่นี่ ปกติเราเกลียดโรงพยาบาลจะตาย”รตีเย้าน้องสาว
“พี่รตีค่ะ งานเปิดตัวเครื่องประดับคอลเลคชั่นใหม่ของริตาในคืนวันเสาร์นี้อย่าลืมไปให้ได้นะค่ะ ริตามีของขวัญสุดพิเศษจะมาเซอไพรส์ค่ะ”
“อ้าว! นึกว่าเรื่องอะไร ริตาค่อยไปย้ำกับพี่ที่บ้านก็ได้นี่จ๊ะ แต่อย่างไรพี่ก็ไม่ลืมหรอก ความสำเร็จของน้องสาวสุดที่รักทั้งที ใครจะพลาดเล่าจ๊ะ”
“ก็คืนนี้ริตาต้องไปควบคุมงานแล้วต้องนอนค้างที่บริษัทนี่ค่ะ ส่วนเรื่องความสำเร็จของริตา....รับรองว่าพี่รตีจะต้องยินดีแน่ๆ ค่ะ”
ริตาเดินออกมาจากห้องพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนได้วางแผนไว้ ถึงอย่างไรหล่อนก็ยังมีความรู้สึกผูกพันทางสายเลือดกับรตีหลงเหลืออยู่ ระหว่างทางหล่อนพอใจกับท่าที่ของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่ทำความเคารพหล่อนอย่างนอบน้อม หากวันนี้หล่อนยังเป็นเด็กหญิงริตาที่ไม่เอาถ่านคนเดิม หล่อนก็คงไม่ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ดังนั้นหล่อนจะถอยไม่ได้ ในที่สุดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็เป็นฝ่ายปราชัย
บรรยากาศภายในงานเปิดตัวเครื่องประดับคอลเลคชั่นใหม่ของรัตนาบดินทร์จิวเวลรี่ในคืนนี้คราคล่ำในด้วยเหล่าคนดังที่มีหน้ามีตาในสังคมรวมทั้งนักธุรกิจชั้นแนวหน้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มาร่วมแสดงความยินดีกับดร.ริตา เมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาครบสิบครั้ง ริตาในชุดราตรีสีชมพูหวานก็ก้าวขึ้นไปยืนบนเวที ทุกก้าวย่างเยี่ยงนางพญาหงส์ต่างสะกดสายตาของทุกคนในงานให้มองมาเป็นสายตาเดียวกัน
“สวัสดีค่ะท่านผู้มีเกียรติทุกๆ ท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานในคืนนี้ ดิฉันขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นแรงผลักดันให้ดิฉันก้าวมายืนนะจุดนี้ได้ ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่รตี พี่สาวของดิฉันค่ะ หากใครเคยจำเด็กหญิงริตาได้จะเห็นว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ดิฉันที่เป็นเด็กเรียนแย่ ไม่เอาไหน สร้างปัญหาให้คนรอบข้างต้องปวดหัวอยู่เสมอจะประสบความสำเร็จได้ ซึ่งคืนนี้ดิฉันก็มีข่าวดีมาแจ้งให้ทุกท่านทราบค่ะ......”ริตาเดินลงจากเวทีมาหยุดยืนอยู่ที่หนุ่มสาวคู่หนึ่ง
“ทุกคนค่ะ นี่คือคุณศิรศักดิ์ สิทธานิมิต เพื่อนสนิทของพี่รตีค่ะ”
ริตาจูงมือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ถูกแนะนำว่าเป็นเพื่อนสนิทของรตีเดินกลับขึ้นมาบนเวที ทุกคนในงานตกอยู่ในความเงียบก่อนที่ชายหนุ่มจะกล่าวขึ้น
“ผมกับน้องริตาเป็นคู่รักกันครับ และที่สำคัญเราสองคนกำลังจะแต่งงานกันในเดือนหน้านี้ครับ ผมเลยขอถือโอกาสเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ณ ที่นี้มาร่วมเป็นสักขีพยานในงานแต่งงานของพวกเราสองคนด้วยนะครับ”
เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังขึ้นมาจากทุกสารทิศ ยกเว้นแต่รตี หล่อนยืนอึ้งใบหน้าชาดิกกับสิ่งที่ได้รับรู้ เมื่อ 5 นาทีก่อนหน้านี้ศิรศักดิ์ยังเป็นคนรักของหล่อนอยู่เลย ถึงแม้เขาจะเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมต้นแต่เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่เข้ามาพัวพันในหัวใจของหล่อน เราเริ่มคบกันหลังจากที่หล่อนกลับมาจากสหรัฐอเมริกาได้ไม่นาน แต่ระยะเวลาที่มีโอกาสได้ศึกษาดูใจกันมาร่วมสิบปี มันก็มากเกินพอที่จะทำให้เขาเคยเอ่ยปากถึงเรื่องแต่งงานกับหล่อนเช่นกัน
ท่านนายพลพิธานกับคุณหญิงวิรดาต่างก็ตะลึงงันกับกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้ เพราะก่อนนี้ความสัมพันธ์ของศิรศักดิ์กับรตีก็อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมาโดยตลอด ศิรศักดิ์ก็ใช่ว่าจะเป็นลูกตาสีตาสาที่ไหน ท่านสุรพลเองก็เป็นถึงอธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ แต่จะคัดค้านอย่างไรได้เล่า ในเมื่อภาพหวานชื่นบนเวทีก็ประจักษ์ให้เห็นตรงหน้าอยู่แล้ว แถมฝ่ายชายก็เป็นคนพูดถึงฤกษ์หมั้นวันแต่งอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แม้ในใจก็อดตะขิดตะขวงไม่ได้ก็ตาม
ริตายิ้มอย่างพอใจเมื่อมองเห็นใบหน้าพี่สาวซีดเผือด จนบุพการีต้องพยุงออกจากงาน เมื่อเห็นว่ารตีนั่งอยู่เพียงลำพัง หล่อนจึงถือโอกาสขอตัวลงจากเวทีและปรี่เข้าไปหาพี่สาวทันที
“ถึงกับลมจับเลยหรือค่ะพี่รตี วันงานนี่อย่างไรก็รบกวนพี่รตีช่วยไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้น้องหน่อยนะค่ะ”ริตาแสร้งทำสีหน้าจริงใจสุดฤทธิ์
“ทำไมริตาต้องทำแบบนี้กับพี่ด้วย น้องก็รู้ว่าพี่กับคุณศิรศักดิ์ เราสองคนรักกันอยู่”
“เมื่อก่อนหน้านี้นะอาจจะใช่ แต่สำหรับตอนนี้คุณเป็นอดีตไปแล้ว”ศิรศักดิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คุณศักดิ์ค่ะ ทำไมคุณพูดแบบนี้เล่าค่ะ”รตีส่งสายตาเว้าวอนไปยังอดีตคนรักหมาดๆ
“คุณก็รู้ว่าผมเบื่ออะไรที่จำเจ ผมคงไม่เอาชีวิตทั้งชีวิตมาทิ้งไว้กับผู้หญิงจืดชืดไร้รสชาติอย่างคุณหรอก อีกอย่างหน้าที่การงานของพ่อผมก็ต้องอาศัยชื่อเสียงของรัตนาบดิทร์จิวเวลรี่เป็นตัวหนุน”
พิธานกับวิรดาก็ต้องปล่อยเลยตามเลยในเมื่อริตาก็ได้ประกาศออกไปแล้ว หนังสือพิมพ์ธุรกิจและคอลัมน์แวดวงไฮโซก็ตีข่าวเสียใหญ่โต ส่วนเรื่องที่รตีเคยคบกับศิรศักดิ์นั้นก็มีเพียงคนในครอบครัวของทั้งสองฝ่ายที่รับรู้ หากจะยกเลิกงานแต่งงานก็คงไม่แคล้วต้องเสียหน้าเป็นแน่ อีกอย่างใจของท่านทั้งสองบัดนี้ก็เอนเอียงไปทางบุตรีคนเล็กเสียแล้ว เนื่องจากธุรกิจของริตาสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับรัตนาบดินทร์ ในที่สุดงานฉลองมงคลสมรสที่ยิ่งใหญ่ก็ถูกจัดขึ้นท่ามกลางผู้ที่มาแสดงความยินดีร่วม 1,000 คน ริตายิ้มอย่างผู้มีชัยเมื่อดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าข้างหล่อนไปเสียหมด ตอนนี้หล่อนได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน การศึกษา รวมทั้งผู้ชายที่แสนจะเพอร์เฟคอย่างศิรศักดิ์ที่หล่อนใช้มารยาเพียงเล็กๆน้อยๆก็สามารถแย่งมาได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าจุดสนใจของทุกคนในสังคมตอนนี้เบนเข็มจากรตีมาที่ริตาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
หลังจากที่แต่งงานแล้วริตาก็ย้ายออกมาอยู่ที่เรือนหอหลังใหม่กับศิรศักดิ์ผู้เป็นสามี แต่ดูเหมือนว่าอะไรๆจะไม่ได้เป็นดั่งที่หล่อนวาดฝันไว้เมื่อหล่อนเริ่มมีปัญหากับสามี เพราะศิรศักดิ์ไปมีผู้หญิงคนใหม่ เนื่องจากพิษเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ก็พลอยส่งผลกระทบต่อกิจการของหล่อนด้วย ทำให้หล่อนไม่มีเวลาให้เขาเลย ถึงแม้ว่าชีวิตคู่ทั้งสองไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความรัก แต่ด้วยนิสัยไม่ยอมคนของหล่อนจึงทำให้ริตาทนไม่ได้ที่จะเสียสิ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นของตนไป จนในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจขออย่าขาดกับศิรศักดิ์หลังจากทนอยู่กับสภาพที่ย่ำแย่มานานถึง 5 ปี แต่ก็ไม่ยอมกลับไปอยู่ที่บ้านรัตนาบดินทร์ตามเดิม
ริตาร้องไห้คร่ำครวญกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันพังหมดแล้ว ทั้งการที่ต้องอับอายกับสายตาของคนอื่นเรื่องที่หล่อนกลายเป็นแม่ม่าย รวมทั่งภาระงานที่บริษัทที่ดูเหมือนว่าจะหนักหนาขึ้นทุกวันในขณะที่รตีกลับมีชีวิตที่ดีขึ้นและยังคงครองตัวเป็นโสดมาจนถึงวัยสี่สิบกะรัต รตีทนไม่ได้ที่ต้องเห็นน้องสาวอยู่ในสภาพแบบนี้จึงตัดสินใจมาหาริตาที่บ้าน
“ริตา กลับไปอยู่บ้านเราเถิดนะ พี่ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นน้องเป็นแบบนี้”รตีทรุดตัวลงนั่งข้างๆน้องสาว
“พี่รตีไม่โกรธริตาหรือค่ะที่ทำกับพี่ถึงเพียงนี้”หล่อนปาดน้ำตาพลางมองหน้าผู้เป็นพี่สาว
“พี่ไม่เคยโกรธริตาเลยนะ พี่รักและก็เป็นห่วงริตาเสมอ ทั้งเรื่องของคุณศิรศักดิ์ น้องก็เห็นแล้วนี่ว่าขนาดพี่กับเขารักกันมาเป็นสิบๆปี เขายังทิ้งพี่ไปหาน้องเพราะหวังผลประโยชน์ได้เลย ผู้ชายพรรค์นั้นไม่เคยมีความจริงใจหรอกนะ กลับบ้านกับพี่เถิด”ริตาโผเข้ากอดพี่สาวพลางร่ำไห้ นี่หล่อนทำผิดไปจริงๆใช่ไหม
“พี่รตีค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ริตาทำไปก็เพื่อที่จะแก้แค้นพี่กับคุณพ่อ คุณแม่เท่านั้น ทั้งเรื่องธุรกิจแล้วก็เรื่องคุณศิรศักดิ์ด้วย”รตีจ้องหน้าน้องสาวอย่างเห็นใจ
“ไม่จริงหรอก เรื่องทั้งหมดที่ริตาทำลงไปที่จริงแล้วน้องก็แค่น้อยใจที่คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ค่อยสนใจเรามากกว่า จริงแล้วไม่ว่าริตาจะเป็นอย่างไร ท่านทั้งสองก็รักริตานะ แต่ที่ท่านทำลงไปก็เพราะว่าท่านอยากเห็นริตาได้ดี ประสบความสำเร็จในชีวิต ริตาไม่ได้อยากแก้แค้นแต่ริตาแค่อยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าริตาทำได้”รตีปลอบน้องสาวอย่างเข้าใจ
“ริตาก็แค่อยากให้ทุกคนหันมาสนใจริตาบ้าง แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรมันก็เหมือนว่าริตาเป็นได้แค่เงาของพี่รตีเท่านั้น เพราะความสำเร็จที่ได้มามันไม่เคยทำให้ริตามีความสุขได้เลย เพราะว่ามันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของริตา ถ้าหากวันนี้ริตาเลือกที่จะเป็นนักเขียน มีชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุขกับคนที่ริตารักจริงๆ ทุกอย่างมันก็คงจะดีกว่านี้”ริตาระบายความรู้สึกที่อัดอั้นออกมาให้พี่สาวฟัง
“ช่างมันเถิดน้องรัก อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้ถือซะว่าเป็นบทเรียนราคาแพงของชีวิตแล้วกัน”สองพี่น้องมองตากันและยิ้มออกมาอย่างจริงใจ
หญิงสาวเผลอหลับไปนานเท่าไรไม่รู้ เพราะเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แสงแรกของวันใหม่ก็ขลิบขอบฟ้าให้เป็นสีทองประกายเสียแล้ว ริตาลุกขึ้นนั่งแล้วเหม่อมองออกไปที่ยอดเขาตรงหน้า นั่นสินะเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตของหล่อน ริตานึกถึงคำสอนของพี่สาว
“อะไรที่มันผ่านไปแล้ว ก็ให้ถือซะว่าเป็นบทเรียนราคาแพงของชีวิตแล้วกัน”
แม้เวลาเวลาที่หล่อนเลือกเดินทางผิดไปจะเรียกกลับคืนมาไม่ได้แต่หล่อนก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งค่อนชีวิตที่จะเริ่มต้นใหม่เหมือนพระอาทิตย์ดวงโตที่ลาลับขอบฟ้าไปแล้วก็สามารถโผล่ขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่ ต้องมีสักวันที่หล่อนจะก้าวออกมาจาก “เงา” และออกมาทอแสงประกายด้วยตัวของหล่อนเอง
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น